เทศน์เช้า

งานหิน

๒๙ ต.ค. ๒๕๔๔

 

งานหิน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ปฏิบัติน่ะมันเหมือนกับงานหินนะ งานหินนี่ งานในหินนี่ งานเราสลักหินนี่ ถ้าหินนั้นไม่ได้อายุ เราสลักหินหินอันนั้นมันจะขึ้นรูป มันจะยุ่ย มันจะสูญสลายไป ถ้าหินมันได้อายุดีขึ้นมานี่ เราสลักหินอันนั้น หินอันนั้นจะเป็นประโยชน์มาก แล้วถ้าหินนั้นมันผุกร่อน มันบุบสลายไป มันเหมือนกับหัวใจไง หัวใจของเรานี่ มันถึงว่าถ้าเริ่มต้นขึ้นมานี่ มันก็เริ่มสลักหินจากหินธรรมดา หินเล็กน้อย ฝึกงานก่อน ฝึกงานขึ้นไปไง

นี่ในอภิธรรมถึงบอกว่า พระอรหันต์ต้องสร้างบารมีมา ๑ อสงไขยแสนกัป พระพุทธเจ้า ๔ อสงไขยถึงจะได้เป็นพระอรหันต์ แต่พระอรหันต์นี่ต้องแสนกัป แต่เราต้องมีวาสนาอันนั้น ถ้าเราไม่มีวาสนาอันนั้น เราจะไม่สามารถยกขึ้นวิปัสสนาได้ ถ้าเรายกขึ้นวิปัสสนาได้ เราสามารถวิปัสสนาได้ หินเห็นไหม หินมันควรแก่งานแล้ว ว่าตรงไหนมันจะเป็นที่ยกขึ้นวิปัสสนา วิปัสสนาตรงไหนถึงวิปัสสนา

วิปัสสนานี้ไม่มีหลักตายตัว หลักตายตัวของวิปัสสนาคือว่า ใจของคนมันอยู่ที่จริตนิสัย จริตของคนไม่เหมือนกัน การสร้างสมมาไม่เหมือนกัน พระอรหันต์แต่ละองค์ในพุทธกาลนี่ไม่เหมือนกัน เห็นไหม พระโมคคัลลานะถนัดไปอย่างหนึ่ง พระสารีบุตรถนัดไปอย่างหนึ่ง แล้วการสอนก็สอนคนละอย่าง จริตนิสัยคนไม่เหมือนกัน ไม่มีสูตรสำเร็จ ถ้ามีสูตรสำเร็จอันนั้นไม่ใช่ มันต้องเป็นปัจจัตตังรู้จำเพาะตน

เหมือนวิทยานิพนธ์นี่ จะทับกันไม่ได้เลย จะเหมือนกันไม่ได้เลย ถ้าเหมือนกันนี่ต้องมีการก๊อบปี้ ถ้าก๊อบปี้นั่นเป็นสัญญา ถึงจะพิจารณากายเหมือนกัน แต่ก็คนละส่วนกัน บางคนพิจารณากะโหลก บางคนพิจารณาข้อกระดูก บางคนพิจารณาเป็นเนื้อหนังมังสา พิจารณาต่างกัน แล้วมันปล่อยวางก็ต่างกัน มากน้อยต่างกัน บางคนน่ะขิปปาภิญญา วิปัสสนาทีเดียวแล้วก็ทะลุไปหมดเลย สิ่งนั้นก็เป็นไปได้ วิปัสสนา

แต่ถ้าเราเวไนยสัตว์นี่มันต้องพยายามเป็นไป มันจะเป็นไปได้ตรงที่ว่า จิตหินนี่มันควรแก่งาน หินนี่มันเหมือนกับหัวใจ หัวใจนี่เราเกิดตาย ๆ มาตลอด เห็นไหม ดวงใจขึ้นมามันก็มีคุณสมบัติของมัน บางดวงใจขึ้นมาก็เหมือนกับหินผุ ๆ ที่ว่าเกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วไม่สนใจพระพุทธศาสนาเลยนี่ เหมือนหินผุ ๆ อย่างนั้น อยู่กันไปประสาไป ใช้ชีวิตไปให้หมดสิ้นอายุขัยไป นั่นน่ะหินผุ ๆ

เพราะว่าเกิดขึ้นมาแล้ว การเกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้แสนยาก การเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก การฟังธรรมนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่เลย แต่เขาว่าฟังธรรมจะยากตรงไหน เปิดวิทยุก็ได้ยินทุกวันเลย อันนั้นเพราะการเกิดอันนี้มาแล้ว เพราะเราเกิดเป็นชาวพุทธ เราอยู่ในสังคมของพุทธ เราถึงได้ยินเรื่องของการเทศนาว่าการ ถ้าเราไม่เกิดในสังคมของพุทธ เห็นไหม นี่มงคล ๓๘ ประการไง เกิดในประเทศอันสมควรไง เราเกิดในประเทศอันสมควรแล้ว

แล้วถ้าหัวใจเราเป็นหินน่ะ มันจะเป็นหินอ่อน อายุใช้งานมันยังไม่ได้ใช้งาน มันก็เหมือนกับเริ่มวิปัสสนาใหม่ ๆ เริ่มวิปัสสนาใหม่ ๆ เราต้องวิปัสสนาของเราไป ยกขึ้นวิปัสสนา ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม แล้วต้องเห็นจากภายใน ถ้าคนเคยเห็นจากภายในจะไม่เคยเห็นจากตาเนื้อ ถ้าเห็นด้วยตาเนื้อนี่มันเป็นเรื่องของโลกียะทั้งหมด มันจะไม่มีการคลายกำหนัด มันจะมีแต่เพิ่มความกำหนัด มีแต่ความเพิ่มของโลกเขา มีแต่ความยึดมั่นถือมั่น เพราะเรารู้เราเห็น เรารู้เราเห็นแล้วมันจะยึดมั่นถือมั่นอันนั้นเข้าไป

แต่ถ้าเห็นจากภายในนี่ มันเห็นโดยที่ว่าไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนเพราะอะไร? เพราะว่าทำสมาธิขึ้นไปนี่ สมาธิมันสงบตัวลง ถ้าสมาธิสงบตัวลง นั่นน่ะตัวตนไม่มี เห็นไหม เริ่มต้นขึ้นมานี่เราจะแกะสลักหิน เราต้องมีเครื่องมือของเรา เห็นไหม ความดำริชอบ ความเห็นชอบ ความเพียรชอบ การงานชอบ งานในตรงนี้งานชอบ งานชอบในวงของอะไร? งานชอบในวงของสมถะ วงของสมถะจะใช้ปัญญาขนาดไหนเป็นปัญญาอบรมสมาธิ เป็นปัญญาทำให้ตะล่อมเข้ามาให้จิตมันสงบเข้ามา มันไม่ใช่วิปัสสนา

แต่คนเข้าใจว่าเป็นวิปัสสนาเพราะอะไร? เพราะว่ามันเป็นสมาธิ เห็นไหม ปัญญาอบรมสมาธิมันอบรมแล้วมันเป็นสมถะ มันอ่อน มันสงบตัวลง พอมันสงบตัวลงเราคิดว่าอันนั้นเป็นผล เข้าใจว่าเป็นผลเพราะมันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ มันเป็นสิ่งที่ลึกลับในหัวใจ จะไม่มีใครเคยเห็นสิ่งนี้เลย พอคนไปประสบ ไปพบเข้าก็คาดหมายไปว่าสิ่งนี้เป็นผล

สิ่งนี้เป็นผลไม่ได้เลย เพราะอะไร? เพราะว่ามันไม่มีสมุจเฉทปหาน มันไม่มีสิ่งใดที่หลุดออกไป แม้แต่วิปัสสนา เรายกขึ้นวิปัสสนาแล้วนี่ วิปัสสนาในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม วิปัสสนาไปวงรอบหนึ่งนี่มันจะปล่อยวาง การปล่อยวางนั้น รู้เลยนะว่าปล่อยวางอันนี้มันไม่ขาด มันเป็นตทังคปหาน มันปล่อยวางชั่วคราว การปล่อยวางชั่วคราวนี่มันต้องซ้ำเข้าไป การซ้ำเข้าไปนี่ตทังคปหานบ่อยเข้า ๆ เห็นไหม ต้องบ่อยเข้า ๆ จนกว่ามันจะสมุจเฉทปหาน

สมุจเฉทปหานนี่มันรู้โดยที่ว่าเป็นอกุปปะ รู้โดยที่ไม่ต้องถามใคร จะไม่ถามใครเลย รู้ชัดเจนมาก แต่ก่อนจะรู้ชัดเจนมากนี่มันต้องรู้หลงมาก่อน ไอ้ตรงนี้สำคัญ ไอ้ตรงรู้หลงนี่ รู้หลงแล้วคาดหมายไป เพราะถ้าไม่มีครูอาจารย์ชี้นำนะ มันจะคาดหมายของเราไป พอคาดหมายของเราไปว่าสิ่งนี้เป็นผล ๆ ถ้าคนเรานะการงานในโลกนี่เราจะไหว้วานกันทำได้ แต่เรื่องของใจ ถ้ามันว่าสิ่งนั้นเป็นผลแล้วมันนอนอยู่ตรงนั้นนะ ไม่ขยับตัว จะงัดขนาดไหนก็ไม่ขยับตัว

ความเชื่อของใจนี่แปลกประหลาดมาก เรื่องของใจนี่เรื่องประหลาดมากนะ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นแก่นของกิเลส มันจะเหนียวแน่นมากในหัวใจของเรา นี่ถึงว่ามันอยู่ที่ว่าหินในหัวใจของเรา คือว่าตัวหัวใจนี่เปรียบเหมือนหิน มันได้อายุขัยของมัน ๆ ถ้าไม่ได้อายุขัยของมัน แกร่งพอแก่การงานได้ ขึ้นรูปได้ ทำเป็นรูปได้ มันทำรูปได้ เวลาเราทำรูปในหิน เวลาเราแกะสลักอะไรก็แล้วแต่ ไม่สำเร็จเราก็มาทำใหม่ ต่อจากงานนั้นไป ต่อเติมไปมันก็เป็นงานต่อไป

แต่ในหัวใจเห็นไหม เวลาปล่อยวางมันก็หมดเลย ขึ้นต้นใหม่ก็ขึ้นต้นใหม่อย่างนั้น แต่มันมีความชำนาญ ความชำนาญนี่มันสามารถขึ้นรูปได้ สามารถยกขึ้นวิปัสสนาได้ ถ้ายกขึ้นวิปัสสนานี่มันก็จะเป็นไป ถ้ามันเป็นไปมันจะเข้าถึงตรงนี้ เข้าถึงตรงเป็นสมุจเฉทปหาน ถ้าเข้าถึงสมุจเฉทปหานนี่มันขาดไป มันเป็นสำเร็จรูป แต่เป็นอกุปปะ อกุปปะคือความที่ไม่เสื่อมอีก จะไม่มีการแปรสภาพอีกเลย สิ่งนั้นจะคงที่อยู่ของมันขณะนั้นไป

สิ่งที่คงที่ตลอดไป เห็นไหม แต่คงที่ในวงสมมุติ สมมุติตรงไหน? สมมุติตรงยกขึ้นอีก โสดา สกิทา อนาคา มันจะยกขึ้นไปได้นี่ มันในวงสมมุติทั้งหมด มันยังไม่วิมุตติหรอก มันถึงต้องก้าวเดินต่อไป ก้าวเดินต่อไปมันจะละเอียดอ่อนเข้าไป ลึกเข้าไป ๆ ความลึกเข้าไปนี่มันจะมีการหลอกลวงตลอดไปนะ ถ้าเราไม่ทวนกระแสเข้าไป อย่างนี้มันจะไม่เข้าถึงสัจธรรม เรานี่ออกไปตามกระแส

ถึงการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน เราประพฤติปฏิบัตินี่ แล้วเราเห็นไหม “ผู้ใดคาดเดาด้นเดาธรรม จะได้ธรรมะคาดเดา” นี่เป็นการคาดหมาย เพราะมันไม่เป็นตามความเป็นจริง สิ่งที่ตามความเป็นจริงนี้มันต้องยกขึ้นวิปัสสนา อย่างที่วิปัสสนาแล้วมันปล่อยวาง ถ้าปล่อยวางแล้วต้องหมั่นคราดหมั่นไถ จะต้องคราดต้องไถจนกว่าตรงนั้นจะไม่มีวัชพืชเลย แล้วจะหว่านพืชผลลงไป หว่านพืชผลลงไปนี่มันจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา เห็นไหม ต้องคราดต้องไถ เราก็คราดก็ไถ พืชผลหมายถึงว่าผลสำเร็จที่เกิดจากตรงนั้น เกิดจากการวิปัสสนานี่ ทำอยู่ตรงนั้นน่ะ

แล้วมันเป็นงานที่ว่างานระหว่าง ๒ ฝ่ายนะ ระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กันในหัวใจ มันจะมีงานพะรุงพะรังไปมาก มันจะมีงานแบบมหาศาลเลย คนเขาว่า เอ๊...พระนี่อยู่ได้อย่างไร ทางจงกรมนี่อยู่เป็นวัน ๆ เป็นเดือน ๆ นะ เดินจงกรมนี่เป็นเดือน อยู่ในทางจงกรมนี่อยู่ได้อย่างไรทำไมไม่เบื่อหน่าย...มันเบื่อหน่ายตรงไหน งานมันจะมามหาศาลเลย ระหว่างกิเลสกับธรรมมันต่อสู้กัน ฝ่ายหลอกลวงมันก็หลอกลวงปลิ้นปล้อนอยู่ในหัวใจ ฝ่ายที่เป็นมรรคมันก็ต่อสู้กันไป มันต่อสู้อย่างนั้น มันถึงว่ามันสนุกไง มันสนุกมันมีงานทำตลอด

แต่มันต้องได้งานทำ ถ้ามีงานทำนี่เรียกว่าภาวนาเป็น ถ้าภาวนาเป็นนี่นะมันจะก้าวเดินต่อไป ถ้าภาวนาไม่เป็นเหมือนกับไฟไม่ติดเชื้อ ถ้าไฟติดเชื้อนี่ ตรงนี้อยู่ที่อำนาจวาสนา ถ้าไฟติดเชื้อขึ้นมานี่มันเผาไปแล้วมันต้องถึงที่สุด มันเผาจนเชื้อไฟมันติดเชื้อ มันไหม้เชื้อไป เชื้อนั้นต้องโดนไฟไหม้ไปจนถึงที่สุด ไหม้ถึงที่สุดนั้นน่ะมันก็จบกระบวนการโครงการหนึ่ง ๆ โครงการหนึ่งก็ขั้นตอนหนึ่ง เห็นไหม มรรค ๔ ผล ๔

มรรคหยาบเห็นไหม โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค มรรคใช้ไปแล้ว มรรคน่ะมีขึ้นมาแล้วต้องแสวงหาใหม่เหรอ? แสวงหาใหม่ ความสงบของใจ เวลามันปล่อยวาง มันขาดนะ มันเป็นความว่าง เป็นอกุปปธรรม เห็นไหม พระสารีบุตร... พระพุทธเจ้าถามน่ะ

“สารีบุตร เธอเป็นพระอรหันต์ เอาอะไรเป็นเครื่องอยู่?”

พระสารีบุตรตอบพระพุทธเจ้าว่า “เอาความว่างเป็นเครื่องอยู่”

เห็นไหม นิพพานเป็นนิพพาน แต่เอาความว่างเป็นเครื่องอยู่ นี่วิหารธรรมที่จะอยู่ของใจ ใจจะไปอยู่ตรงนั้นน่ะมันจะอยู่กับอะไร? ถ้ามันอยู่กับตรงนี้ได้มันก็จะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้ามันอยู่กับตรงนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นผู้ที่ภาวนาเป็นแล้วมันเป็นโดยธรรมชาติของมัน แต่เรามันยังไม่เป็นน่ะ ถ้าเราไม่เป็นนี่เราก็ต้องพยายามของเรา ถ้าเราพยายามของเรานี่เราพยายามต่อไป ยกขึ้นมา มันจะยากง่ายขนาดไหน มันเป็นงาน

งานอันนี้เป็นงานอันประเสริฐ เป็นงานที่ข้ามพ้นกิเลส เป็นงานที่เอาชีวิตนี้ วัฏวนนี่เกิดตาย ๆ เป็นอย่างนี้ เศรษฐีขนาดไหน เห็นไหม โตเทยยพราหมณ์ร่ำรวยมหาศาลเลยนะ เป็นพราหมณ์ที่ขี้เหนียวมาก พระพุทธเจ้ามาบิณฑบาตไม่เคยใส่บาตรเลย เวลาตายไปนี่ไปเกิดเป็นสุนัขมาเฝ้าสมบัติ เห็นไหม นี่เกิดเป็นมหาเศรษฐี เวลาเกิดชาติใหม่ก็เกิดเป็นสุนัขได้ แล้วเราจะเกิดเป็นอะไรในโลกนี้ เราจะหมุนตายนี่ ถ้าเราไม่สามารถชำระกิเลสได้เราก็เวียนตายเวียนเกิดอย่างนี้เหมือนกัน

เราจะต้องเวียนตายเวียนเกิด แล้วการเวียนตายเวียนเกิดของเรามันจะเป็นประโยชน์อะไรกับเราล่ะ? มันไม่เป็นประโยชน์กับเรา เราถึงต้องพยายามต่อสู้ตรงนี้ไง ต่อสู้จะเอาชนะกิเลสให้ได้ แต่งานชนะกิเลสนี่มันก็ต้องย้อนกลับมาตรงนี้ ต้องพยายามขวนขวาย พยายามขวนขวายอยู่จากภายใน งานภายในเป็นงานเอาตายเข้าแลกนะ เพราะเอาชนะตนเอง ถ้าไม่เอาตายเข้าว่านี่มันมีเล่ห์เหลี่ยมของมัน มันจะว่าจะเป็นอย่างนั้น เมื่อนั้น ๆ มันจะอ้างเล่ห์ไปตลอดเวลาว่าควรจะทำเมื่อไหร่ ๆ มันพูดไป

แล้วเราก็ว่าเราฉลาดไง เราฉลาดศึกษาพระไตรปิฎกมา เห็นไหม มัชฌิมาปฏิปทา พระพุทธเจ้าสอนให้มัชฌิมาปฏิปทา...นั้นล่ะมัชฌิมาปฏิปทาของกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่สั่งสอนมัชฌิมาปฏิปทานะ ตามธรรมวินัยนั้นน่ะคือมัชฌิมาปฏิปทา คนที่สอนมัชฌิมาปฏิปทาจะบัญญัติเรื่องเป็นอัตตกิลมถานุโยค...เป็นไปไม่ได้เลย ต้องบัญญัติไว้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา เพียงแต่ว่าจริตนิสัยของเราจะชอบสิ่งใด

เพราะสอนมาแต่ละองค์น่ะสอนไม่เหมือนกัน สอนตรงจริตนิสัย ถ้าตรงจริตนิสัยจะเข้า...ทึบ! มันจะไปทันทีเลย ถ้าไม่ตรงจริตนิสัยนี่มันก็เหมือนกับว่าเราต้องค้นคว้าเอา อาจารย์มหาบัวท่านบอก มีคนไปถามบ่อยว่า

“ควรจะทำอย่างไรให้ตรงกับจริตนิสัย?”

ท่านพูดประจำนะ “ทำอย่างไรเราหายใจเข้าออก ทำแล้วมันโปร่ง เราทำสมถกรรมฐานก็แล้วแต่ ทำวิปัสสนาก็แล้วแต่ มันโปร่ง มันเรียบง่าย มันปลอดโปร่ง มันโล่งโถง นั่นน่ะทางของเรา” ทางของเราคือทางที่สะดวกสบายที่มันจะเข้าไปหากิเลสได้ เข้าไปชำระกิเลสได้

ถ้ามันชำระกิเลสได้ อันนั้นน่ะเป็นผลงาน เห็นไหม เป็นผลงานของสัตว์โลกแต่ละบุคคลที่จะเป็นผู้พ้นไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น เราเท่านั้นเป็นผู้ก้าวเดิน หัวใจของเราสมควรแก่การงานแล้วมันจะเป็นไป ถ้าหัวใจเราไม่ควรแก่การงาน เราทำอยู่อย่างนั้นน่ะ ทำผิดทำถูกไปนี่ คนเราจะขึ้นรูปเห็นไหม อย่างพวกภาชนะดินเผาน่ะ เขาต้องปั้นดิน เขาต้องนวดดิน นวดดินจนกว่ามันจะนิ่มนวลควรแก่การงาน

ใจก็เหมือนกัน ควรแก่การงาน ทำสมถกรรมฐาน ถ้าไม่มีสมถกรรมฐานนี่มันมีตัวตน ตัวตนของเรามันเป็นการคาดหมาย เวลาทำความสงบนี่สมถกรรมฐาน มันทำให้ตัวตนสงบไป เหมือนหินทับหญ้าไว้ หินมีอำนาจเหนือทับหญ้าไว้ สัมมาสมาธิสามารถกดกิเลสไว้ไม่ให้กิเลสออกมาเพ่นพ่านชั่วคราว ถ้าไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านชั่วคราว นั้นคือเวล่ำเวลาของเราที่เราจะวิปัสสนาได้ ถ้าวิปัสสนาได้นี่มันจะเป็นงานขึ้นมา

ถ้าวิปัสสนาบ่อยครั้งเข้าเป็นสัญญา พอเป็นสัญญาเข้านี่ อันนั้นเป็นสังขาร เป็นขันธ์ ๕ เป็นเรื่องความคิด ความปรุง ความแต่ง ต้องกลับมาพักทำความสงบเพื่อละตัวตนของเรา ละตัวตนตลอด ขณะที่ทำนั้นตัวตนจะเข้ามาไม่ได้เลย ตัวตนคือกิเลส ตัวตนคืออัตตา ตัวตนคือความคิดเห็นของเรา ต้องทำความสงบของใจเข้ามาตลอด

ถึงว่าโลกุตตระกับโลกียะต่างกัน ต่างกันตรงนี้ไง ต่างกันถ้าว่าเป็นโลกียะนี่เรามีความเห็นของเราร่วมด้วยตลอด เรามีความรู้สึกร่วมด้วย ๆ เวลาพอไปโลกุตตระนี่ เหมือนกับว่าเราเห็น เห็นสักแต่ว่าแล้วมันจำอะไรไม่ได้ แต่ภาพมันกลับชัดเจน เห็นไหม เพราะไม่มีเรามีส่วนร่วมด้วย ถ้าเรามีส่วนร่วมด้วยนั้นคือภาวนามยปัญญา นั้นคือธรรมจักรมันเคลื่อนไป

นี่ไงธรรมจักร เห็นไหม ธรรมจักรกับกงจักร ถ้าความคิดของเรานี่เป็นกงจักร ถ้าปัญญามันหมุนไปนี่เป็นธรรมจักร ธรรมจักรมันจะเคลื่อนได้ต่อเมื่อเราส่งเสริมมันขึ้นมา เราส่งเสริมจากสัมมาสมาธินี่ มันเป็นธรรมจักรเห็นไหม มรรค ๘ นี่เราพยายามส่งเสริมขึ้นไป แล้วมันจะเคลื่อนไป ความคิดนี่มันจะส่งไปไง ส่งจากสุตะ จินตะ แล้วจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญานี้จะหมุนออกไป พอหมุนออกไปมันจะเข้ามาชำระกิเลส

ตัวที่ชำระกิเลสนี่ ตัวนี้เป็นสิ่งที่ปรารถนา เพราะไม่มีใครเคยเห็น ถ้าใครเคยเห็นเรื่องภาวนามยปัญญาโดยสมบูรณ์ คนคนนั้นต้องเป็นโสดาบันอย่างต่ำ เพราะมันจะเกิดแล้วมันชำระกิเลสพร้อมกัน นี่เป็นโสดาบันอย่างต่ำ แล้วเป็นสูงขึ้นไปจนกว่าสิ้นกิเลสไป จนกว่าจะสิ้นกิเลสนะ นี่มันต้องทวนกระแสเข้าไป ธรรมะเป็นเพราะว่าเราต้องประพฤติปฏิบัติ หัวใจเราควรแก่การงาน แล้วเราต้องมีอำนาจวาสนาเราถึงทำได้ ถ้าเราไม่มีวาสนา เราจะทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก

เหมือนกับหินผุ ๆ น่ะ หินผุ ๆ นี่ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย คนที่ประพฤติปฏิบัติล้มลุกคลุกคลานน่ะเป็นอย่างนั้น สร้างรูปขึ้นมาไม่ได้ แต่ใจเราสร้างรูปขึ้นมาได้ สามารถก้าวเดินไปได้ ต้องมีวาสนา เอวัง